หักภาษีเงินเดือนมีวิธีการคำนวณอย่างไร?

ปกหักภาษีเงินเดือนมีวิธีการคำนวณอย่างไร จัดทำโดย BMU
icon รับทำบัญชี
icon ดูรีวิวจากลูกค้า
icon กระดานสอบถามปัญหาภาษี
icon ติดต่อ Line

สารบัญ

    1. ทำไมจึงต้องหักภาษีเงินเดือน?
    2. ใครมีหน้าที่หักภาษีเงินเดือน
    3. ขั้นตอนการคำนวณการหักภาษีเงินเดือน
    4. ตัวอย่างการคำนวณการหักภาษีเงินเดือน
    5. สรุป

ทำไมจึงต้องหักภาษีเงินเดือน?

        ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 50 ระบุเอาไว้ว่า “ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้

        ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย เพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีแล้ว คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น”

ดังนั้นหากจะสรุปว่า ทำไมจึงต้องหักภาษีเงินเดือน? เนื่องจากประมวลรัษฎากรได้มีข้อกำหนดเอาไว้นั่นเอง

ใครมีหน้าที่หักภาษีเงินเดือน

          ตามมาตรา 50 ได้ระบุเอาไว้ว่า “ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน” ดังนั้นผู้มีหน้าที่หัก ณ ที่จ่ายก็คือนายจ้างผู้จ่ายเงินได้ให้แก่ลูกจ้างนั่นเอง

ขั้นตอนการคำนวณการหักภาษีเงินเดือน

           ตามที่ระบุเอาไว้ในประมวลรัษฎากรในวรรคก่อน สามารถแบ่งขั้นตอนในการคำนวณการหักภาษีเงินเดือนออกเป็นขั้นตอนได้ดังนี้

    1. คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย เพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีแล้ว
    2. คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48
    3. เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น

ตัวอย่างการคำนวณการหักภาษีเงินเดือน

          ก่อนที่จะมาดูตัวอย่างการคำนวณหักภาษีเงินเดือน สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานผมแนะนำให้อ่านบทความนี้ให้เข้าใจก่อนครับ : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคำนวณอย่างไร?

ยกตัวอย่างในการคำนวณเช่น นาย ก ได้รับเงินเดือน เดือนละ 200,000 บาท ต่อเดือน และรายละเอียดค่าลดหย่อนของนาย ก มีดังนี้

    1. ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
    2. ค่าลดหย่อนบิดา 30,000 บาท
    3. เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป 40,000 บาท
    4. ซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ RMF เป็นจำนวน 20,000 บาท (RMF)

 

ขั้นแรก : คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย เพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีแล้ว

เงินเดือนของนาย ก ต่อปี = 200,000 x 12 = 2,400,000 บาท

 

ขั้นที่ 2 : คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48

เงินได้พึงประเมินทั้งปีคือ 2,400,000 บาท

ในการหักค่าใช้จ่าย เงินได้พึงประเมินแต่ละประเภทนั้นจะหักค่าใช้จ่ายได้ไม่เท่ากัน หากเป็นเงินได้ 40(1) จะหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้นในกรณีนี้นาย ก จะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น 100,000 บาท

ในการหักค่าลดหย่อน นาย ก สามารถหักค่าลดหย่อนรวมได้ที่

ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท + ค่าลดหย่อนบิดา 30,000 บาท + เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป 40,000 บาท + ซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ RMF เป็นจำนวน 20,000 บาท (RMF) = 150,000 บาท

สรุปเงินได้สุทธิของนาย ก = เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

สรุปเงินได้สุทธิของนาย ก = 2,400,000 – 100,000 – 150,000 = 2,150,000 บาท

หลังจากนั้นให้นำเอาเงินได้สุทธิของนาย ก ไปเข้าไปคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า  สามารถสรุปได้ดังนี้

ตัวอย่างการคำนวณอัตราภาษี จัดทำโดย BMU

สรุปขั้นตอนที่ 2 คือ ภาษีที่นาย ก ต้องเสียของทั้งปีอยู่ที่ 410,000 บาท

 

ขั้นที่ 3 : เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น

จากยอดภาษีที่คำนวณได้ในขั้นที่ 2 คือ 410,000 บาท นำมาหารด้วยจำนวนคราวที่ต้องจ่ายคือ 12 เดือน ดังนั้นยอดที่ต้องหักภาษีเงินเดือนในแต่ละเดือนเอาไว้คือ 410,000 บาท / 12 = 34,166.67 บาท

ดังนั้นในแต่ละเดือน นายจ้างจะจ่ายเงินให้นาย ก 200,000 – 34,166.67 = 165,833.33 บาท และนำยอดที่หักไว้ 34,166.67 บาท นำส่งสรรพากรในเดือนถัดไปด้วยแบบ ภงด.1 

สรุป

          นายจ้างมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินเดือนที่จ่ายให้แก่พนักงานเอาไว้ทุกเดือน และนำส่งสรรพากรเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย สำหรับขั้นตอนในการคำนวณมี 3 ขั้นตอนหลักๆคือ

    1. ให้นำเงินเดือนคูณจำนวนเดือนที่ต้องจ่ายในปีภาษีนั้นเพื่อหาเงินได้พึงประเมิน
    2. นำเงินได้พึงประเมินที่คำนวณได้มาหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน และคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
    3. นำตัวเลขภาษีที่คำนวณได้มาหารด้วยจำนวนเดือนที่ต้องจ่ายในปีภาษีนั้น ก็จะได้ตัวเลขภาษีที่ต้องหักออกจากเงินเดือนเอาไว้นั่นเอง

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทำให้เข้าใจเกี่ยวกับการหักภาษีเงินเดือนมากยิ่งขึ้นนะครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.