ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร? สรุปทุกข้อควรรู้และวิธีจดทะเบียน

ปกบทความภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? มาหาคำตอบกันได้จากบทความนี้
icon รับทำบัญชี
icon ดูรีวิวจากลูกค้า
แก้ไขเรียบร้อยแล้วนะคะ BUM ให้บริการปรึกษาฟรี
icon ติดต่อ Line

สำหรับผู้ประกอบการที่สงสัยว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร Build Me Up Consultant เราจะสรุปประเด็นสำคัญให้ครบถ้วน ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน วิธีคำนวณ ไปจนถึงขั้นตอนการจดทะเบียน เพื่อให้คุณดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นใจและถูกต้องกัน

สารบัญ

  1. ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร?
  2. เหตุใดจึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม?
  3. อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน
  4. ใครต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม?
  5. ธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม?
  6. วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  7. วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
  8. จุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Tax point)
  9. สรุป

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร

          ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือ การเรียกเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ ทั้งที่ผลิต ขาย ในประเทศ และนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
หลักการในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการเสียภาษีทางอ้อม หมายความว่าผู้บริโภคสินค้า บริการ ซึ่งเป็นผู้ที่รับภาระภาษี (ยิ่งบริโภคมากก็ต้องรับภาษีมาก) แต่ไม่ได้เป็นผู้ยื่นเสียภาษีโดยตรง ซึ่งผู้ประกอบการจะเป็นผู้เรียกเก็บภาษีจากผู้บริโภค และยื่นเสียภาษีแทนผู้บริโภค นั่นเอง

หลักการในการเสียภาษีมูลค่าแบบทางอ้อม

เหตุใดจึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม?

ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat เป็นภาษีที่มีความสำคัญอย่างมาก และมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังนี้

1.เป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาล

  • รายได้จากภาษีดังกล่าวนั้นเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับรัฐบาล เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณสุข เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนในประเทศนั้นอยู่ดีกินดี

2.ช่วยในการกระจายภาระภาษี

  • ตามที่ได้อธิบายไปแล้วว่าผู้รับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงคือผู้บริโภค ผู้ใดที่บริโภคมากก็จะต้องเสียภาษีมาก ผู้ใดบริโภคน้อยก็จะเสียภาษีน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการชำระภาษีด้วยระบบดังกล่าวนั้นช่วยในการกระจายภาระภาษีไปให้แก่ประชาชนในประเทศได้อย่างเท่าเทียมตามฐานการบริโภคของแต่ละคน ไม่กระจุกตัวการเสียภาษีที่คนบางกลุ่ม เหมือนกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล

หลักการทำงานของภาษีมูลค่าเพิ่ม

หัวใจสำคัญของระบบภาษีมูลค่าเพิ่มคือการเก็บภาษีจาก “มูลค่าที่เพิ่มขึ้น” ในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนที่ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจ ได้แก่

  1. ภาษีขาย (Output VAT) : คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้า เมื่อขายสินค้าหรือให้บริการ
  2. ภาษีซื้อ (Input VAT ) : คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจ่ายไป เมื่อซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ขายรายอื่นที่จดทะเบียน VAT เช่นกัน เพื่อนำมาใช้ในกิจการของตน

หลักการคือ ผู้ประกอบการจะนำภาษีขายที่เก็บรวบรวมได้ มาหักลบกับภาษีซื้อที่ตนเองจ่ายไป และนำส่งส่วนต่างให้กับกรมสรรพากร ซึ่งเป็นการผลักภาระภาษีต่อไปเป็นทอด ๆ จนถึงผู้บริโภคคนสุดท้ายที่เป็นผู้รับภาระภาษีทั้งหมดในที่สุด

อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน

อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยอยู่ที่ 10% อย่างไรก็ตาม ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ในปัจจุบันอัตราภาษีดังกล่าวนั้นอยู่ที่ 7% และใช้อัตรานี้มาหลายปีแล้ว

ใครมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

เมื่อเข้าใจแล้วว่า VAT คืออะไร คำถามถัดมาคือใครบ้างที่เป็น ผู้มีหน้าที่จดทะเบียน VAT? โดยทั่วไป กรมสรรพากรได้กำหนดเกณฑ์สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ 3 กรณีหลัก ดังนี้

  1. ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี : (ทั้งบุคคลและนิติบุคคล) ที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินเกณฑ์ จะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน
  2. ผู้ประกอบการที่ต้องการจดทะเบียนก่อนเริ่มกิจการ : หากมีแผนงานที่พิสูจน์ได้ว่ามีการเตรียมประกอบกิจการ เช่น ก่อสร้างโรงงาน สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนได้ภายใน 6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการ
  3. ตัวแทนของผู้ประกอบการนอกราชอาณาจักร : กรณีที่ผู้ประกอบการอยู่ต่างประเทศ แต่ขายสินค้า/บริการในไทยเป็นปกติธุระผ่านตัวแทน ให้ตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจดทะเบียน

ธุรกิจอะไรบ้างที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

อย่างไรก็ตาม มีบางธุรกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องจด Vat ถึงแม้ว่ารายได้จะเกินตามที่กฎหมายกำหนด สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มดังต่อไปนี้

  1. เป็นธุรกิจได้ที่รับการยกเว้น Vat แต่สามารถเลือกเข้าระบบ Vat ได้

    • ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าพืชผลทางการเกษตร สัตว์ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่นอาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
    • ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
    • การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยท่าอากาศยาน
    • การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
    • การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร
  1. เป็นธุรกิจได้ที่รับการยกเว้น Vat และไม่มีสิทธิขอจดทะเบียนเข้าระบบ Vat

    • การให้บริการการศึกษาของสถานศึกษาของทางราชการ
    • การให้บริการที่เป็นงานทางศิลปะและวัฒนธรรมในสาขา
    • การให้บริการการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การว่าความ
    • การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาล
    • การให้บริการวิจัย หรือการให้บริการทางวิชาการ
    • การให้บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์
    • การให้บริการตามสัญญาจ้างแรงงาน
    • การให้บริการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น
    • การให้บริการของนักแสดงสาธารณะ
    • การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร
    • การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งมิใช่เป็นการขนส่งโดยอากาศยาน หรือเรือเดินทะเล
    • การให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์
    • การให้บริการของราชการส่วนท้องถิ่น
    • การขายสินค้าหรือการให้บริการของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งส่งรายรับให้แก่รัฐโดยไม่หักรายจ่าย
    • การขายสินค้าหรือการให้บริการเพื่อประโยชน์แก่การศาสนา หรือการสาธารณกุศลภายในประเทศ ซึ่งไม่นำผลกำไรไปจ่ายในทางอื่น
    • การขายสินค้าหรือการให้บริการตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากสรรพากรได้ที่ : ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับยกเว้น Vat ตามกฎหมาย

วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

การจดทะเบียน Vat มี 2 วิธี คือ

  1. ยื่นแบบคำขอผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
  2. ยื่นแบบคำขอด้วยกระดาษที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่

สำหรับเอกสารที่ใช้ในการจด Vat สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ : เอกสารประกอบการจด Vat

เอกสารประกอบการจด Vat

วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

หลักการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งมีดังนี้

หลักการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง

ยกตัวอย่างเช่น บริษัท BMU จำกัด มียอดขาย 200 บาท ภาษีขาย 14 บาท (200 x 7%) มียอดซื้อ 100 บาท ภาษีซื้อ 7 บาท (100 x 7%) สามารถคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งได้ดังนี้

ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ

ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง = 14 – 7 = 7 บาท

ผู้ประกอบการจะต้องนำส่ง Vat ด้วยแบบ ภพ 30 ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ : ภพ 30 คืออะไร? วิธีการกรอกแบบและยื่นแบบ

ขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

เมื่อคุณเข้าเกณฑ์ที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถดำเนินการตามขั้นตอนภาพรวมได้ ดังนี้

  1. ตรวจสอบคุณสมบัติและกรอบเวลา : พิจารณาว่ารายรับของกิจการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีแล้วหรือยัง
  2. เตรียมเอกสารให้พร้อม : รวบรวมเอกสารที่จำเป็นตามประเภทของธุรกิจ (บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล)
  3. ยื่นคำขอจดทะเบียน (ภ.พ. 01) : กรอกแบบฟอร์มและยื่นเอกสารทั้งหมดที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือยื่นผ่านระบบออนไลน์
  4. รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ : เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร และอาจมีการตรวจสอบสถานประกอบการจริง
  5. รับใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 20) : เมื่อการตรวจสอบเสร็จสมบูรณ์และได้รับการอนุมัติ คุณจะได้รับใบทะเบียนเป็นหลักฐาน

ต้องจดทะเบียนเมื่อไหร่และที่ไหน

กรอบเวลา : ต้องยื่นคำขอจดทะเบียน (แบบ ภ.พ. 01) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท หรือก่อนเริ่มประกอบกิจการสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าระบบ VAT ล่วงหน้า

สถานที่ : สามารถยื่นได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือยื่นผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร

เอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียน VAT

กรณีบุคคลธรรมดา

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สัญญาเช่า (กรณีเช่าสถานที่) หรือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ (กรณีเป็นเจ้าของ)
  • แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานประกอบการโดยสังเขป

กรณีนิติบุคคล (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน)

  • สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (ไม่เกิน 6 เดือน)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจ
  • สัญญาเช่า (กรณีเช่าสถานที่) หรือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์
  • แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานประกอบการ

หน้าที่สำคัญหลังเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT

การเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT แล้ว ไม่ได้จบแค่การยื่นเอกสาร แต่ยังมีหน้าที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเพื่อความถูกต้องตามกฎหมาย ดังนี้

  • การออกใบกำกับภาษี (Tax Invoice) : ต้องออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือบริการทุกครั้งที่มีการขาย เพื่อเป็นหลักฐานในการเก็บภาษีขาย
  • การจัดทำรายงานภาษี : ต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขายเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสรุปยอดภาษีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในเดือนนั้นๆ
  • การยื่นแบบ ภ.พ. 30 : ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) ให้กับกรมสรรพากรเป็นประจำทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าเดือนนั้นๆ จะมีรายการซื้อขายหรือไม่ก็ตาม
  • ทำความเข้าใจ “จุดความรับผิดทางภาษี” (Tax Point) : ต้องทราบว่าความรับผิดในการเสียภาษีเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เช่น เมื่อมีการส่งมอบสินค้า เมื่อได้รับการชำระเงิน หรือเมื่อได้ออกใบกำกับภาษี เพื่อให้การลงบัญชีและยื่นภาษีถูกต้อง

จุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Tax point)

จุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง จุดเวลาที่ทำให้ผู้ประกอบการมีภาระที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นจุดที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ดังนี้

สิทธิ : การเรียกเก็บ Vat จากผู้ซื้อและผู้รับบริการ

หน้าที่ :

  1. จัดทำและส่งมอบใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อ หรือ ผู้รับบริการ
  2. นำยอดขาย ภาษีขาย ไปลงในรายงานภาษีขาย
  3. นำส่ง Vat ให้แก่กรมสรรพากร

จุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ Tax point นั้น มี 3 จุดดังนี้ โดยจุดใดเกิดขึ้นก่อน จะถือว่าจุดนั้นเกิดจุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Tax point) ขึ้น

  1. มีการโอนกรรมสิทธิ์สินค้า
  2. ได้รับชำระราคาสินค้า
  3. ได้ออกใบกำกับภาษี

จากจุดความรับผิดข้างต้นจะเห็นได้ว่า ธุรกิจการขายสินค้า กับ ธุรกิจการให้บริการ จะมีจุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกัน ดังนี้

          ธุรกิจการขายสินค้า : จุดความรับผิด (Tax point) จะเกิดขึ้นตอนส่งสินค้าทำให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้นเอกสารทางบัญชีที่เรามักจะเห็นกันตอนส่งสินค้าคือ “ใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษี”

          ธุรกิจการให้บริการ : จุดความรับผิด (Tax point) จะเกิดขึ้นตอนได้รับชำระเงินค่าสินค้า ดังนั้นเอกสารทางบัญชีที่เรามักจะเห็นกันตอนได้รับเงินคือ “ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี” นั่นเอง

ปัญหาที่พบบ่อยในการทำ VAT ที่ควรระวัง 

เพื่อให้การบริหารจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ประกอบการควรระวังข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ดังนี้

  • การออกใบกำกับภาษีไม่ถูกต้อง : เช่น ระบุข้อมูลผู้ซื้อผิดพลาด คำนวณภาษีผิด หรือไม่ได้ระบุรายการที่จำเป็นให้ครบถ้วน ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าของผู้ประกอบการนำใบกำกับภาษีไปใช้ไม่ได้
  • การนำภาษีซื้อต้องห้ามมาใช้ : ผู้ประกอบการบางรายอาจเข้าใจผิด นำรายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ หรือรายจ่ายที่กฎหมายกำหนดว่าเป็น “ภาษีซื้อต้องห้าม” (เช่น ค่ารับรอง ภาษีซื้อจากรถยนต์นั่ง) มาหักออกจากภาษีขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้
  • การยื่นแบบ ภ.พ. 30 ล่าช้าหรือไม่ครบถ้วน : การไม่ยื่นแบบภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป จะมีบทลงโทษทั้งค่าปรับทางอาญาและเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ

 

คำถามที่พบบ่อยในการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

มีสินค้าและบริการหลายประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย เช่น พืชผลทางการเกษตรที่ยังไม่แปรรูป สัตว์มีชีวิต ปุ๋ย หนังสือเรียน ค่ารักษาพยาบาล และบริการขนส่งในประเทศ เป็นต้น

ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน แต่สามารถยื่นขอจดทะเบียนโดยสมัครใจได้ ซึ่งมีข้อดีคือสามารถออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า และสามารถนำภาษีซื้อมาหักลบได้ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าที่มี VAT จำนวนมาก หรือมีลูกค้าเป็นบริษัทที่ต้องการใบกำกับภาษี

สามารถขอถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หากกิจการมีรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือเมื่อมีการเลิกประกอบกิจการ

ควรรีบยื่นแบบ ภ.พ. 30 พร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) โดยเร็วที่สุด ผ่านช่องทางออนไลน์หรือที่สำนักงานสรรพากร แม้จะเกินกำหนดเวลาแล้วก็ตาม ซึ่งจะต้องชำระค่าปรับและเงินเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด การยื่นล่าช้ายิ่งนาน ค่าปรับก็จะยิ่งสูงขึ้น

กฎหมายได้กำหนด “ภาษีซื้อต้องห้าม” ที่ไม่สามารถนำมาหักลบได้ ตัวอย่างที่พบบ่อย เช่น ภาษีซื้อที่เกิดจากค่ารับรองแขก ภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และภาษีซื้อที่ไม่มีใบกำกับภาษี หรือใบกำกับภาษีมีข้อความไม่ถูกต้องสมบูรณ์

สรุป

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) เป็นภาษีอีกตัวหนึ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากหากผู้ประกอบการทำผิดในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่ค่อนข้างรุนแรง สามารถทำให้ผู้ประกอบกิจการต้องปิดกิจการกันไปหลายรายเพราะความไม่รู้ ทาง Build Me Up Consultant (BMU) หวังว่าบทความนี้จะเป็นการช่วยปูความรู้พื้นฐานในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มให้ทุกท่านนะครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.