สำหรับผู้ประกอบการที่สงสัยว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร Build Me Up Consultant เราจะสรุปประเด็นสำคัญให้ครบถ้วน ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน วิธีคำนวณ ไปจนถึงขั้นตอนการจดทะเบียน เพื่อให้คุณดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นใจและถูกต้องกัน
สารบัญ
- ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร?
- เหตุใดจึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม?
- อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน
- ใครต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม?
- ธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม?
- วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
- จุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Tax point)
- สรุป
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือ การเรียกเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ ทั้งที่ผลิต ขาย ในประเทศ และนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
หลักการในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการเสียภาษีทางอ้อม หมายความว่าผู้บริโภคสินค้า บริการ ซึ่งเป็นผู้ที่รับภาระภาษี (ยิ่งบริโภคมากก็ต้องรับภาษีมาก) แต่ไม่ได้เป็นผู้ยื่นเสียภาษีโดยตรง ซึ่งผู้ประกอบการจะเป็นผู้เรียกเก็บภาษีจากผู้บริโภค และยื่นเสียภาษีแทนผู้บริโภค นั่นเอง
เหตุใดจึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม?
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat เป็นภาษีที่มีความสำคัญอย่างมาก และมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังนี้
1.เป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาล
- รายได้จากภาษีดังกล่าวนั้นเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับรัฐบาล เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณสุข เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนในประเทศนั้นอยู่ดีกินดี
2.ช่วยในการกระจายภาระภาษี
- ตามที่ได้อธิบายไปแล้วว่าผู้รับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงคือผู้บริโภค ผู้ใดที่บริโภคมากก็จะต้องเสียภาษีมาก ผู้ใดบริโภคน้อยก็จะเสียภาษีน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการชำระภาษีด้วยระบบดังกล่าวนั้นช่วยในการกระจายภาระภาษีไปให้แก่ประชาชนในประเทศได้อย่างเท่าเทียมตามฐานการบริโภคของแต่ละคน ไม่กระจุกตัวการเสียภาษีที่คนบางกลุ่ม เหมือนกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล
หลักการทำงานของภาษีมูลค่าเพิ่ม
หัวใจสำคัญของระบบภาษีมูลค่าเพิ่มคือการเก็บภาษีจาก “มูลค่าที่เพิ่มขึ้น” ในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนที่ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจ ได้แก่
- ภาษีขาย (Output VAT) : คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้า เมื่อขายสินค้าหรือให้บริการ
- ภาษีซื้อ (Input VAT ) : คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจ่ายไป เมื่อซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ขายรายอื่นที่จดทะเบียน VAT เช่นกัน เพื่อนำมาใช้ในกิจการของตน
หลักการคือ ผู้ประกอบการจะนำภาษีขายที่เก็บรวบรวมได้ มาหักลบกับภาษีซื้อที่ตนเองจ่ายไป และนำส่งส่วนต่างให้กับกรมสรรพากร ซึ่งเป็นการผลักภาระภาษีต่อไปเป็นทอด ๆ จนถึงผู้บริโภคคนสุดท้ายที่เป็นผู้รับภาระภาษีทั้งหมดในที่สุด
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยอยู่ที่ 10% อย่างไรก็ตาม ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ในปัจจุบันอัตราภาษีดังกล่าวนั้นอยู่ที่ 7% และใช้อัตรานี้มาหลายปีแล้ว
ใครมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
เมื่อเข้าใจแล้วว่า VAT คืออะไร คำถามถัดมาคือใครบ้างที่เป็น ผู้มีหน้าที่จดทะเบียน VAT? โดยทั่วไป กรมสรรพากรได้กำหนดเกณฑ์สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ 3 กรณีหลัก ดังนี้
- ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี : (ทั้งบุคคลและนิติบุคคล) ที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินเกณฑ์ จะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน
- ผู้ประกอบการที่ต้องการจดทะเบียนก่อนเริ่มกิจการ : หากมีแผนงานที่พิสูจน์ได้ว่ามีการเตรียมประกอบกิจการ เช่น ก่อสร้างโรงงาน สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนได้ภายใน 6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการ
- ตัวแทนของผู้ประกอบการนอกราชอาณาจักร : กรณีที่ผู้ประกอบการอยู่ต่างประเทศ แต่ขายสินค้า/บริการในไทยเป็นปกติธุระผ่านตัวแทน ให้ตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจดทะเบียน
ธุรกิจอะไรบ้างที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
อย่างไรก็ตาม มีบางธุรกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องจด Vat ถึงแม้ว่ารายได้จะเกินตามที่กฎหมายกำหนด สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มดังต่อไปนี้
-
เป็นธุรกิจได้ที่รับการยกเว้น Vat แต่สามารถเลือกเข้าระบบ Vat ได้
-
- ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าพืชผลทางการเกษตร สัตว์ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่นอาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
- ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยท่าอากาศยาน
- การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร
-
เป็นธุรกิจได้ที่รับการยกเว้น Vat และไม่มีสิทธิขอจดทะเบียนเข้าระบบ Vat
-
- การให้บริการการศึกษาของสถานศึกษาของทางราชการ
- การให้บริการที่เป็นงานทางศิลปะและวัฒนธรรมในสาขา
- การให้บริการการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การว่าความ
- การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาล
- การให้บริการวิจัย หรือการให้บริการทางวิชาการ
- การให้บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์
- การให้บริการตามสัญญาจ้างแรงงาน
- การให้บริการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น
- การให้บริการของนักแสดงสาธารณะ
- การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร
- การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งมิใช่เป็นการขนส่งโดยอากาศยาน หรือเรือเดินทะเล
- การให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์
- การให้บริการของราชการส่วนท้องถิ่น
- การขายสินค้าหรือการให้บริการของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งส่งรายรับให้แก่รัฐโดยไม่หักรายจ่าย
- การขายสินค้าหรือการให้บริการเพื่อประโยชน์แก่การศาสนา หรือการสาธารณกุศลภายในประเทศ ซึ่งไม่นำผลกำไรไปจ่ายในทางอื่น
- การขายสินค้าหรือการให้บริการตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากสรรพากรได้ที่ : ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับยกเว้น Vat ตามกฎหมาย
วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
การจดทะเบียน Vat มี 2 วิธี คือ
- ยื่นแบบคำขอผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
- ยื่นแบบคำขอด้วยกระดาษที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่
สำหรับเอกสารที่ใช้ในการจด Vat สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ : เอกสารประกอบการจด Vat
วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
หลักการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งมีดังนี้
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท BMU จำกัด มียอดขาย 200 บาท ภาษีขาย 14 บาท (200 x 7%) มียอดซื้อ 100 บาท ภาษีซื้อ 7 บาท (100 x 7%) สามารถคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งได้ดังนี้
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง = 14 – 7 = 7 บาท
ผู้ประกอบการจะต้องนำส่ง Vat ด้วยแบบ ภพ 30 ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ : ภพ 30 คืออะไร? วิธีการกรอกแบบและยื่นแบบ
ขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
เมื่อคุณเข้าเกณฑ์ที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถดำเนินการตามขั้นตอนภาพรวมได้ ดังนี้
- ตรวจสอบคุณสมบัติและกรอบเวลา : พิจารณาว่ารายรับของกิจการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีแล้วหรือยัง
- เตรียมเอกสารให้พร้อม : รวบรวมเอกสารที่จำเป็นตามประเภทของธุรกิจ (บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล)
- ยื่นคำขอจดทะเบียน (ภ.พ. 01) : กรอกแบบฟอร์มและยื่นเอกสารทั้งหมดที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือยื่นผ่านระบบออนไลน์
- รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ : เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร และอาจมีการตรวจสอบสถานประกอบการจริง
- รับใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 20) : เมื่อการตรวจสอบเสร็จสมบูรณ์และได้รับการอนุมัติ คุณจะได้รับใบทะเบียนเป็นหลักฐาน
ต้องจดทะเบียนเมื่อไหร่และที่ไหน
กรอบเวลา : ต้องยื่นคำขอจดทะเบียน (แบบ ภ.พ. 01) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท หรือก่อนเริ่มประกอบกิจการสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าระบบ VAT ล่วงหน้า
สถานที่ : สามารถยื่นได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือยื่นผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
เอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียน VAT
กรณีบุคคลธรรมดา
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สัญญาเช่า (กรณีเช่าสถานที่) หรือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ (กรณีเป็นเจ้าของ)
- แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานประกอบการโดยสังเขป
กรณีนิติบุคคล (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน)
- สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (ไม่เกิน 6 เดือน)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจ
- สัญญาเช่า (กรณีเช่าสถานที่) หรือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์
- แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานประกอบการ
หน้าที่สำคัญหลังเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT
การเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT แล้ว ไม่ได้จบแค่การยื่นเอกสาร แต่ยังมีหน้าที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเพื่อความถูกต้องตามกฎหมาย ดังนี้
- การออกใบกำกับภาษี (Tax Invoice) : ต้องออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือบริการทุกครั้งที่มีการขาย เพื่อเป็นหลักฐานในการเก็บภาษีขาย
- การจัดทำรายงานภาษี : ต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขายเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสรุปยอดภาษีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในเดือนนั้นๆ
- การยื่นแบบ ภ.พ. 30 : ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) ให้กับกรมสรรพากรเป็นประจำทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าเดือนนั้นๆ จะมีรายการซื้อขายหรือไม่ก็ตาม
- ทำความเข้าใจ “จุดความรับผิดทางภาษี” (Tax Point) : ต้องทราบว่าความรับผิดในการเสียภาษีเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เช่น เมื่อมีการส่งมอบสินค้า เมื่อได้รับการชำระเงิน หรือเมื่อได้ออกใบกำกับภาษี เพื่อให้การลงบัญชีและยื่นภาษีถูกต้อง
จุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Tax point)
จุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง จุดเวลาที่ทำให้ผู้ประกอบการมีภาระที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นจุดที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ดังนี้
สิทธิ : การเรียกเก็บ Vat จากผู้ซื้อและผู้รับบริการ
หน้าที่ :
- จัดทำและส่งมอบใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อ หรือ ผู้รับบริการ
- นำยอดขาย ภาษีขาย ไปลงในรายงานภาษีขาย
- นำส่ง Vat ให้แก่กรมสรรพากร
จุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ Tax point นั้น มี 3 จุดดังนี้ โดยจุดใดเกิดขึ้นก่อน จะถือว่าจุดนั้นเกิดจุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Tax point) ขึ้น
- มีการโอนกรรมสิทธิ์สินค้า
- ได้รับชำระราคาสินค้า
- ได้ออกใบกำกับภาษี
จากจุดความรับผิดข้างต้นจะเห็นได้ว่า ธุรกิจการขายสินค้า กับ ธุรกิจการให้บริการ จะมีจุดความรับผิดภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกัน ดังนี้
ธุรกิจการขายสินค้า : จุดความรับผิด (Tax point) จะเกิดขึ้นตอนส่งสินค้าทำให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้นเอกสารทางบัญชีที่เรามักจะเห็นกันตอนส่งสินค้าคือ “ใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษี”
ธุรกิจการให้บริการ : จุดความรับผิด (Tax point) จะเกิดขึ้นตอนได้รับชำระเงินค่าสินค้า ดังนั้นเอกสารทางบัญชีที่เรามักจะเห็นกันตอนได้รับเงินคือ “ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี” นั่นเอง
ปัญหาที่พบบ่อยในการทำ VAT ที่ควรระวัง
เพื่อให้การบริหารจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ประกอบการควรระวังข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ดังนี้
- การออกใบกำกับภาษีไม่ถูกต้อง : เช่น ระบุข้อมูลผู้ซื้อผิดพลาด คำนวณภาษีผิด หรือไม่ได้ระบุรายการที่จำเป็นให้ครบถ้วน ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าของผู้ประกอบการนำใบกำกับภาษีไปใช้ไม่ได้
- การนำภาษีซื้อต้องห้ามมาใช้ : ผู้ประกอบการบางรายอาจเข้าใจผิด นำรายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ หรือรายจ่ายที่กฎหมายกำหนดว่าเป็น “ภาษีซื้อต้องห้าม” (เช่น ค่ารับรอง ภาษีซื้อจากรถยนต์นั่ง) มาหักออกจากภาษีขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้
- การยื่นแบบ ภ.พ. 30 ล่าช้าหรือไม่ครบถ้วน : การไม่ยื่นแบบภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป จะมีบทลงโทษทั้งค่าปรับทางอาญาและเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ
คำถามที่พบบ่อยในการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
มีสินค้าและบริการหลายประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย เช่น พืชผลทางการเกษตรที่ยังไม่แปรรูป สัตว์มีชีวิต ปุ๋ย หนังสือเรียน ค่ารักษาพยาบาล และบริการขนส่งในประเทศ เป็นต้น
ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน แต่สามารถยื่นขอจดทะเบียนโดยสมัครใจได้ ซึ่งมีข้อดีคือสามารถออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า และสามารถนำภาษีซื้อมาหักลบได้ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าที่มี VAT จำนวนมาก หรือมีลูกค้าเป็นบริษัทที่ต้องการใบกำกับภาษี
สามารถขอถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หากกิจการมีรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือเมื่อมีการเลิกประกอบกิจการ
ควรรีบยื่นแบบ ภ.พ. 30 พร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) โดยเร็วที่สุด ผ่านช่องทางออนไลน์หรือที่สำนักงานสรรพากร แม้จะเกินกำหนดเวลาแล้วก็ตาม ซึ่งจะต้องชำระค่าปรับและเงินเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด การยื่นล่าช้ายิ่งนาน ค่าปรับก็จะยิ่งสูงขึ้น
กฎหมายได้กำหนด “ภาษีซื้อต้องห้าม” ที่ไม่สามารถนำมาหักลบได้ ตัวอย่างที่พบบ่อย เช่น ภาษีซื้อที่เกิดจากค่ารับรองแขก ภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และภาษีซื้อที่ไม่มีใบกำกับภาษี หรือใบกำกับภาษีมีข้อความไม่ถูกต้องสมบูรณ์
สรุป
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) เป็นภาษีอีกตัวหนึ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากหากผู้ประกอบการทำผิดในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่ค่อนข้างรุนแรง สามารถทำให้ผู้ประกอบกิจการต้องปิดกิจการกันไปหลายรายเพราะความไม่รู้ ทาง Build Me Up Consultant (BMU) หวังว่าบทความนี้จะเป็นการช่วยปูความรู้พื้นฐานในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มให้ทุกท่านนะครับ


