สารบัญ
- ภาษีทางอ้อมคืออะไร?
- ลักษณะสำคัญของภาษีทางอ้อม
- ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีทางอ้อม
- ความแตกต่างระหว่างภาษีทางอ้อม VS ภาษีทางตรง
- สรุป
ภาษีทางอ้อมคืออะไร?
ภาษีทางอ้อม คือ ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากผู้ผลิต ผู้ขาย หรือผู้ให้บริการ แต่ภาระในการจ่ายภาษีที่แท้จริงนั้นจะถูกผลักไปให้แก่ผู้บริโภค ผ่านราคาสินค้าและบริการที่เราซื้อนั้น หรือพูดง่ายๆคือ คนที่จ่ายภาษีให้กับรัฐโดยตรง (เช่น ผู้ผลิต ผู้ขาย หรือผู้ให้บริการ) ไม่ใช่คนที่แบกรับภาระภาษีตัวจริง (ผู้บริโภค) เราจึงเรียกภาษีประเภทดังกล่าวว่าภาษีทางอ้อม
ลองดูตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมภาพตามนี้:
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): เวลาเราซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆจากผู้ประกอบการที่จด Vat จะมีภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% รวมแฝงอยู่ในราคาขายแล้ว และผู้ขายมีหน้าที่นำส่งภาษีขายส่วนนี้ให้กับรัฐ แต่จริงๆ แล้วคนรับภาระภาษีคือที่แท้จริงก็คือผู้บริโภคที่เป็นผู้ซื้อ ยกตัวอย่าง เช่น บริษัท A ขายสินค้าในราคา 100 บาท เมื่อบริษัท A จด Vat แล้วต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมที่ 7% เป็นราคา 107 บาท จากลูกค้าที่เป็นผู้บริโภค ภาษีที่เก็บมา 7 บาท ก็จะต้องนำส่งให้กรมสรรพากรในเดือนถัดไป ในตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่าบริษัท A จะเป็นผู้จ่ายภาษี 7 บาทให้สรรพากร แต่ผู้แบกรับภาระภาษีที่แท้จริงก็คือผู้บริโภคนั่นเอง
- ภาษีสรรพสามิต: เป็นภาษีที่เก็บจากสินค้าบางประเภท เช่น สุรา ยาสูบ น้ำมัน รถยนต์ ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะเป็นผู้เสียภาษีให้กับรัฐ แต่ราคาสินค้าเหล่านี้ก็จะบวกภาษีสรรพสามิตเข้าไป ทำให้ผู้บริโภคเป็นผู้จ่ายในที่สุด
- ภาษีศุลกากร: เป็นภาษีที่เก็บจากการนำเข้าและส่งออกสินค้า ผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออกจะเป็นผู้เสียภาษี แต่ต้นทุนภาษีนี้ก็จะถูกรวมเข้าไปในราคาสินค้า ทำให้ผู้บริโภคสินค้าที่นำเข้าต้องแบกรับภาระภาษีส่วนนี้
ลักษณะสำคัญของภาษีทางอ้อม
- ผู้มีหน้าที่เสียภาษีกับผู้แบกรับภาระภาษีเป็นคนละคนกัน: ผู้ผลิต ผู้ขาย หรือผู้ให้บริการเป็นผู้จ่ายภาษีให้แก่รัฐ แต่ผู้บริโภคเป็นผู้รับภาระภาษีตัวจริง
- มุ่งเน้นไปที่การบริโภคและการใช้จ่าย: ภาษีจะเกิดขึ้นเมื่อมีการซื้อขายสินค้าและบริการ
- ผลักภาระภาษีได้: ผู้ประกอบการสามารถบวกภาษีเข้าไปในราคาสินค้าและบริการได้ เป็นการผลักภาระภาษีไปให้แก่ผู้บริโภค
ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีทางอ้อม
ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีทางอ้อม โดยตรงต่อรัฐบาล คือ ผู้ผลิต ผู้ขาย หรือผู้ให้บริการแต่ที่สำคัญคือ ภาระในการจ่ายภาษีนั้นจะถูกผลักไปให้ผู้บริโภค ที่ซื้อสินค้าหรือบริการเหล่านั้นอีกทีหนึ่ง
ลองแยกตามประเภทของภาษีทางอ้อมเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นกันครับ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ผู้ที่มีหน้าที่นำส่งภาษี VAT ให้กับกรมสรรพากรคือ ผู้ขาย ผู้ให้บริการที่เป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ผู้ที่จ่ายภาษี VAT จริงๆ คือ ผู้บริโภค ที่ซื้อสินค้าหรือบริการ
- ภาษีสรรพสามิต: ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตให้กับกรมสรรพสามิตคือ ผู้ผลิตสินค้า (เช่น โรงงานสุรา โรงงานยาสูบ โรงกลั่นน้ำมัน) หรือ ผู้นำเข้าสินค้า ที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีสรรพสามิต แต่ภาระภาษีจะถูกรวมเข้าไปในราคาสินค้า ทำให้ในท้ายที่สุดผู้บริโภคเป็นผู้แบกรับภาระภาษีตัวนี้
- ภาษีศุลกากร: ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีศุลกากรให้กับกรมศุลกากรคือ ผู้นำเข้าสินค้า หรือ ผู้ส่งออกสินค้า ซึ่งในบางกรณี แต่ต้นทุนภาษีนี้มักจะถูกรวมเข้าไปในราคาสินค้า ทำให้ ผู้บริโภคสินค้าที่นำเข้าต้องแบกรับภาระ เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างภาษีทางตรง VS ภาษีทางอ้อม
ภาษีทางตรง และ ภาษีทางอ้อมนั้นมีความแตกต่างกันหลายประการ สามารถสรุปได้ดังนี้
- ภาษีทางตรงเป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีกับผู้รับภาระภาษีเป็นบุคคลเดียวกัน ส่วนภาษีทางอ้อมเป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีกับผู้รับภาระภาษีที่แท้จริงเป็นคนละบุคคลกัน
- การรับรู้ทางภาษี ผู้รับภาระภาษีทางตรงจะรับทราบอย่างชัดเจนว่าฐานภาษีและภาษีที่ตัวเองต้องเสียเป็นเท่าไหร่ แต่หากว่าเป็นภาษีทางอ้อมผู้รับภาระภาษีมักจะไม่ทราบว่ามีภาระภาษีแฝงอยู่ในมูลค่าสินค้าและบริการเป็นจำนวนเท่าไหร่
- การผลักภาระภาษี ในส่วนภาษีทางตรงผู้เสียภาษีจะไม่สามารถผลักภาระภาษีไปให้คนอื่นได้ แต่ภาษีทางอ้อม ผู้เสียภาษีจะสามารถผลักภาระภาษีไปให้คนอื่นได้ เช่น ผู้บริโภค เป็นต้น
- ตัวอย่างภาษีทางตรง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก ส่วนภาษีทางอ้อมยกตัวอย่างเช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น
- การจัดเก็บภาษี หากเป็นภาษีทางตรง จะจัดเก็บเป็นงวดตามรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (เช่น รายปี) หากเป็นภาษีทางอ้อม ส่วนใหญ่จะจัดเก็บ ณ จุดที่มีการซื้อขายสินค้าและบริการ
สรุป
ภาษีทางอ้อม เป็น ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากผู้ผลิต ผู้ขาย หรือผู้ให้บริการ แต่ภาระในการจ่ายภาษีที่แท้จริงนั้นจะถูกผลักไปให้แก่ผู้บริโภค ผ่านราคาสินค้าและบริการที่เราซื้อนั่น ยกตัวอย่างเช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น