บริษัทจำกัด (บจก.) คืออะไร ควรเปิดบริษัทดีหรือไม่?

ปกบทความบริษัทจำกัดคืออะไร ควรเปิดบริษัทดีหรือไม่
icon รับทำบัญชี
icon ดูรีวิวจากลูกค้า
icon กระดานสอบถามปัญหาภาษี
icon ติดต่อ Line

สารบัญ

  1. บริษัทจำกัด (บจก.) คืออะไร?
  2. ลักษณะสำคัญของบริษัทจำกัด (บจก.)
  3. ข้อดีของการเปิดบริษัทจำกัด
  4. ข้อเสียของการเปิดบริษัทจำกัด
  5. ปัจจัยที่ต้องนำมาพิจาณาว่าควรเปิดบริษัท (บจก.) หรือไม่
  6. เปรียบเทียบความแตกต่างการทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล
  7. สรุป

บริษัทจำกัด (บจก.) คืออะไร?

          บริษัทจำกัด หรือ ชื่อย่อว่า บจก. คือ การดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เนื่องจากมีสถานะแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้น ทำให้บริษัทสามารถทำนิติกรรมสัญญา เป็นเจ้าของทรัพย์สิน และดำเนินคดีต่างๆในนามของบริษัทจำกัดได้ การเปิดเป็นบริษัทจำกัดมีลักษณะสำคัญเบื้องต้นที่ต้องรู้ดังนี้

ลักษณะสำคัญของบริษัทจำกัด (บจก.)

             ความเป็นนิติบุคคล: บริษัทจำกัด (บจก.) มีสถานะทางกฎหมายเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา

            ความรับผิดจำกัด: ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทในส่วนที่ไม่เกินมูลค่าหุ้นที่ตนเองถือ กล่าวคือหากบริษัท (บจก.) ทำธุรกิจแล้วเจ๊ง หนี้สินล้นพ้นตัว บริษัทที่ถือเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากก็ล้มละลายไป ไม่สามารถเรียกให้ผู้ถือหุ้นนำเงินส่วนตัวมาชำระหนี้แทนได้

             การแบ่งทุนเป็นหุ้น: ทุนของบริษัทแบ่งออกเป็นหุ้นที่มีมูลค่าเท่าๆกัน ใครที่ถือหุ้นมากก็จะต้องลงทุนด้วยเงินมาก แต่หากบริษัทมีกำไรก็จะได้เงินปันผลมากขึ้นตามไปด้วยตามสัดส่วนของจำนวนหุ้น ใครที่ถือหุ้นน้อยก็จะต้องลงทุนด้วยเงินน้อย และหากบริษัทมีกำไรก็จะได้เงินปันผลน้อยตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ตนถือ

ยกตัวอย่างเช่น นาย ก นาย ข รวมกันก่อตั้งบริษัท BMU จำกัด ซึ่งมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 10,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท รวมเป็นมูลค่าหุ้นทั้งสิ้น 1,000,000 บาท นาย ก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลงทุน 8,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท และนาย ข ลงทุน 2,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท

จะเห็นได้ว่า นาย ก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องนำเงินมาลงทุนในบริษัทจำนวน 8,000 หุ้น x 100 บาทต่อหุ้น = 800,000 บาท มากที่สุดเนื่องจากถือหุ้นในสัดส่วน 80% ส่วนนาย ข ต้องนำเงินมาลงทุนในบริษัทจำนวน 2,000 หุ้น x 100 บาทต่อหุ้น = 200,000 บาท

ต่อมา ณ วันสิ้นปี บริษัทมีกำไรทั้งสิ้น 500,000 บาท และตัดสินใจจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมด 400,000 บาท นาย ก จะได้รับเงินปันผลทั้งสิ้น 400,000 บาท x 80% = 320,000 บาท (ถือหุ้น 80%) ส่วนนาย ข จะได้รับเงินปันผลทั้งสิ้น 400,000 บาท x 20% = 80,000 บาท (ถือหุ้น 20%) จะเห็นได้ว่ายิ่งถือหุ้นมากก็จะได้รับส่วนแบ่งมาก ยิ่งถือหุ้นน้อยก็จะได้รับส่วนแบ่งน้อยตามไปด้วย

            การบริหารจัดการ: มีคณะกรรมการบริหารจัดการที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้น

            การประชุมผู้ถือหุ้น: จัดประชุมผู้ถือหุ้นเป็นประจำเพื่อรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจำกัด

             การจัดทำบัญชี: บริษัทจำกัด มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชี และนำส่งงบการเงินให้แก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากร เป็นประจำทุกปี ในส่วนนี้จะมีต้นทุนในการดำเนินการ 2 ส่วนก็คือ ค่าทำบัญชีรายเดือน (จ่ายให้แก่ผู้ทำบัญชี) และค่าสอบบัญชีประจำปี (จ่ายให้แก่ผู้ตรวจสอบบัญชี)

ข้อดีของการเปิดบริษัทจำกัด

การเปิดเป็นบริษัทจำกัด (บจก.) มีข้อดีหลายประการดังนี้

             ความน่าเชื่อถือ: บริษัทจำกัดมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าธุรกิจส่วนตัวที่เป็นบุคคลธรรมดา หรือห้างหุ้นส่วน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและคู่ค้ามากกว่า

             การระดมทุน: สามารถระดมทุนได้ง่ายโดยการออกหุ้นขายให้แก่ผู้ถือหุ้น ทำให้มีเงินทุนในการขยายธุรกิจได้ดีกว่าบุคคลธรรมดา

             การจำกัดความรับผิด: ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบหนี้สินของบริษัททั้งหมด ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงิน กล่าวคือหากบริษัททำธุรกิจแล้วเจ๊ง หนี้สินล้นพ้นตัว บริษัทที่ถือเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากก็ล้มละลายไป ไม่สามารถเรียกให้ผู้ถือหุ้นนำเงินส่วนตัวมาชำระหนี้แทนได้

             การวางแผนภาษี: มีข้อได้เปรียบในการวางแผนภาษีมากกว่าธุรกิจรูปแบบอื่น และในกรณีที่ธุรกิจมีกำไรที่สูง ตัวอัตราภาษีของนิติบุคคลจะต่ำกว่าบุคคลธรรมดา แสดงได้ตามตารางดังนี้

ตารางอัตราภาษีของ บุคคลธรรมดา VS นิติบุคคล(SME) By BMU
กราฟเปรียบเทียบอัตราภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา VS นิติบุคคล(SME) By BMU

จะเห็นได้ว่าในช่วงเงินได้สุทธิ / กำไร ตั้งแต่ 750,001 บาทขึ้นไป (จุดตัดของกราฟ) อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะเริ่มมากกว่าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึง 35% ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลมากที่อยู่ที่ 20% เท่านั้น ดังนั้นหากธุรกิจที่มี เงินได้สุทธิ / กำไร เกินกว่า 750,001 บาท เป็นจุดที่ต้องเริ่มพิจารณาแล้วว่าธุรกิจควรจะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือไม่

ข้อเสียของการเปิดบริษัทจำกัด

การเปิดบริษัทหรือ บจก. ไม่ได้มีเพียงข้อดีอย่างเดียว แต่ก็มีข้อเสียด้วย เพราะการเปิดเป็นบริษัทจำกัดอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน ข้อเสียมีดังนี้

             ค่าใช้จ่ายทางด้านบัญชี: เมื่อเปิดเป็นบริษัทจำกัดแล้ว เราก็มีหน้าที่ต้องนำส่งงบการเงินให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากรเป็นประจำทุกปี ดังนั้นเราจะต้องจ้างผู้ทำบัญชีให้มาทำบัญชีให้รายเดือน และจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีให้มาตรวจสอบบัญชีและเซ็นงบการเงินแก่บริษัทให้รายปี

             ต้นทุนเวลา: หลายๆคนมักจะลืมคิดข้อนี้ไป โดยเฉพาะบริษัทเล็กๆที่เจ้าของกิจการต้องทำทุกอย่างคนเดียว ขั้นตอนการออกเอกสาร การเก็บเอกสาร การจัดเรียงและเตรียมเอกสารต่างๆเพื่อส่งมอบให้ผู้ทำบัญชีนำไปบันทึกบัญชี ล้วนใช้เวลาทั้งสิ้น ดังนั้นการเปิดบริษัทจำกัด จะต้องมีต้นทุนเวลาที่เสียไปมากขึ้นทางด้านเอกสารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

            ข้อกำหนดทางกฎหมาย: ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายอย่างเข้มงวด

ปัจจัยที่ต้องนำมาพิจาณาว่าควรเปิดบริษัท (บจก.) หรือไม่

ผมคิดว่ามีปัจจัยหลักประมาณ 3 ตัวที่ควรต้องเอามาพิจารณาว่าควรเปิดเป็นบริษัท หรือ บจก. หรือไม่

1.ภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ประหยัดได้ เมื่อเทียบกับการทำธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา

ในส่วนนี้จะต้องมีการคำนวณออกมาจริงๆเลย โดยใช้สมมติฐานตัวเลขชุดเดียวกัน ว่าหากทำธุรกิจแบบบริษัทจำกัด จะเสียภาษีเท่าไหร่ หากทำธุรกิจแบบบุคคลธรรมดาจะเสียภาษีเท่าไหร่ แนะนำให้ไปอ่าน 2 บทความนี้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณภาษี

เมื่อคำนวณออกมาได้แล้ว กรณีที่ 1 สมมติว่า ภาษีบุคคลต้องเสีย 65,000 บาท แต่หากเปิดเป็นบริษัทแล้วต้องเสียภาษี  67,500 บาท แบบนี้ก็ไม่ควรต้องเปิดบริษัท เพราะเสียภาษีมากกว่า กรณีที่ 2 สมมติว่า ภาษีบุคคลต้องเสีย 1,265,000 บาท แต่หากเปิดเป็นบริษัทแล้วต้องเสียภาษี  1,000,000 บาท แบบนี้จะเห็นได้ว่าประหยัดภาษีไปได้ 265,000 บาท ก็ต้องนำมาพิจารณาเปรียบเทียบกับต้นทุนในการทำบัญชีต่อว่าภาษีที่ประหยัดได้คุ้มค่ากับการเปิดบริษัทหรือไม่

2.ต้นทุนบัญชีที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดเป็นบริษัทจำกัด

ในส่วนนี้ก่อนเปิดเป็น บริษัทจำกัด เราจะต้องไปสอบถามราคาจากผู้ทำบัญชี ผู้สอบบัญชี มาเลยว่าธุรกิจของเราจะมีค่าบริการทางด้านบัญชีประมาณเท่าใด จากกรณีที่ 2 สมมติค่าทำบัญชีรายเดือนอยู่ที่ 10,000 บาท ค่าทำบัญชีต่อปีที่ 120,000 บาท และค่าสอบบัญชีอยู่ที่ 20,000 บาท ต่อปี ดังนั้นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทางด้านบัญชีอยู่ที่ 140,000 บาท ต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับภาษีที่ประหยัดได้ในข้อก่อน จำนวน 265,000 บาท ก็ยังถือว่าคุ้มค่าอยู่เมื่อเปิดเป็นบริษัท

3.ความน่าเชื่อถือ

ปัจจัยอื่นที่ควรนำมาพิจาณาก็คือการเปิดเป็นบริษัททำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ตรงนี้ก็ควรนำมาเป็นข้อพิจารณาเพิ่มเติม

เปรียบเทียบความแตกต่างการทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล

การทำธุรกิจนั้นมีหลายรูปแบบทั้งบุคคลธรรมดา (รวมถึง ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน) กับ นิติบุคคล (เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด เป็นต้น) ผมได้ทำตารางสรุปความแตกต่างมาให้ ดังนี้

เปรียบเทียบความแตกต่างการทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล By BMU

สรุป

บริษัทจำกัด หรือที่มีชื่อย่อ บจก. เป็นรูปแบบในการดำเนินธุรกิจแบบนิติบุคคลที่มีความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือ ใช้จำนวนผู้ถือหุ้นไม่มาก (อย่างน้อย 2 คน) และที่สำคัญก็คือผู้ถือหุ้นทุกคนรับผิดจำกัด ใครที่สนใจดำเนินธุรกิจจริงจังมากขึ้น ต้องการขยายธุรกิจ และทำให้เป็นระบบ ตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านนะครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.