สารบัญ
- บริษัทจำกัด (บจก.) คืออะไร?
- ลักษณะสำคัญของบริษัทจำกัด (บจก.)
- ข้อดีของการเปิดบริษัทจำกัด
- ข้อเสียของการเปิดบริษัทจำกัด
- ปัจจัยที่ต้องนำมาพิจาณาว่าควรเปิดบริษัท (บจก.) หรือไม่
- เปรียบเทียบความแตกต่างการทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล
- สรุป
บริษัทจำกัด (บจก.) คืออะไร?
บริษัทจำกัด หรือ ชื่อย่อว่า บจก. คือ การดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เนื่องจากมีสถานะแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้น ทำให้บริษัทสามารถทำนิติกรรมสัญญา เป็นเจ้าของทรัพย์สิน และดำเนินคดีต่างๆในนามของบริษัทจำกัดได้ การเปิดเป็นบริษัทจำกัดมีลักษณะสำคัญเบื้องต้นที่ต้องรู้ดังนี้
ลักษณะสำคัญของบริษัทจำกัด (บจก.)
ความเป็นนิติบุคคล: บริษัทจำกัด (บจก.) มีสถานะทางกฎหมายเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา
ความรับผิดจำกัด: ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทในส่วนที่ไม่เกินมูลค่าหุ้นที่ตนเองถือ กล่าวคือหากบริษัท (บจก.) ทำธุรกิจแล้วเจ๊ง หนี้สินล้นพ้นตัว บริษัทที่ถือเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากก็ล้มละลายไป ไม่สามารถเรียกให้ผู้ถือหุ้นนำเงินส่วนตัวมาชำระหนี้แทนได้
การแบ่งทุนเป็นหุ้น: ทุนของบริษัทแบ่งออกเป็นหุ้นที่มีมูลค่าเท่าๆกัน ใครที่ถือหุ้นมากก็จะต้องลงทุนด้วยเงินมาก แต่หากบริษัทมีกำไรก็จะได้เงินปันผลมากขึ้นตามไปด้วยตามสัดส่วนของจำนวนหุ้น ใครที่ถือหุ้นน้อยก็จะต้องลงทุนด้วยเงินน้อย และหากบริษัทมีกำไรก็จะได้เงินปันผลน้อยตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ตนถือ
ยกตัวอย่างเช่น นาย ก นาย ข รวมกันก่อตั้งบริษัท BMU จำกัด ซึ่งมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 10,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท รวมเป็นมูลค่าหุ้นทั้งสิ้น 1,000,000 บาท นาย ก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลงทุน 8,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท และนาย ข ลงทุน 2,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท
จะเห็นได้ว่า นาย ก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องนำเงินมาลงทุนในบริษัทจำนวน 8,000 หุ้น x 100 บาทต่อหุ้น = 800,000 บาท มากที่สุดเนื่องจากถือหุ้นในสัดส่วน 80% ส่วนนาย ข ต้องนำเงินมาลงทุนในบริษัทจำนวน 2,000 หุ้น x 100 บาทต่อหุ้น = 200,000 บาท
ต่อมา ณ วันสิ้นปี บริษัทมีกำไรทั้งสิ้น 500,000 บาท และตัดสินใจจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมด 400,000 บาท นาย ก จะได้รับเงินปันผลทั้งสิ้น 400,000 บาท x 80% = 320,000 บาท (ถือหุ้น 80%) ส่วนนาย ข จะได้รับเงินปันผลทั้งสิ้น 400,000 บาท x 20% = 80,000 บาท (ถือหุ้น 20%) จะเห็นได้ว่ายิ่งถือหุ้นมากก็จะได้รับส่วนแบ่งมาก ยิ่งถือหุ้นน้อยก็จะได้รับส่วนแบ่งน้อยตามไปด้วย
การบริหารจัดการ: มีคณะกรรมการบริหารจัดการที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้น
การประชุมผู้ถือหุ้น: จัดประชุมผู้ถือหุ้นเป็นประจำเพื่อรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจำกัด
การจัดทำบัญชี: บริษัทจำกัด มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชี และนำส่งงบการเงินให้แก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากร เป็นประจำทุกปี ในส่วนนี้จะมีต้นทุนในการดำเนินการ 2 ส่วนก็คือ ค่าทำบัญชีรายเดือน (จ่ายให้แก่ผู้ทำบัญชี) และค่าสอบบัญชีประจำปี (จ่ายให้แก่ผู้ตรวจสอบบัญชี)
ข้อดีของการเปิดบริษัทจำกัด
การเปิดเป็นบริษัทจำกัด (บจก.) มีข้อดีหลายประการดังนี้
ความน่าเชื่อถือ: บริษัทจำกัดมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าธุรกิจส่วนตัวที่เป็นบุคคลธรรมดา หรือห้างหุ้นส่วน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและคู่ค้ามากกว่า
การระดมทุน: สามารถระดมทุนได้ง่ายโดยการออกหุ้นขายให้แก่ผู้ถือหุ้น ทำให้มีเงินทุนในการขยายธุรกิจได้ดีกว่าบุคคลธรรมดา
การจำกัดความรับผิด: ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบหนี้สินของบริษัททั้งหมด ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงิน กล่าวคือหากบริษัททำธุรกิจแล้วเจ๊ง หนี้สินล้นพ้นตัว บริษัทที่ถือเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากก็ล้มละลายไป ไม่สามารถเรียกให้ผู้ถือหุ้นนำเงินส่วนตัวมาชำระหนี้แทนได้
การวางแผนภาษี: มีข้อได้เปรียบในการวางแผนภาษีมากกว่าธุรกิจรูปแบบอื่น และในกรณีที่ธุรกิจมีกำไรที่สูง ตัวอัตราภาษีของนิติบุคคลจะต่ำกว่าบุคคลธรรมดา แสดงได้ตามตารางดังนี้

จะเห็นได้ว่าในช่วงเงินได้สุทธิ / กำไร ตั้งแต่ 750,001 บาทขึ้นไป (จุดตัดของกราฟ) อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะเริ่มมากกว่าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึง 35% ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลมากที่อยู่ที่ 20% เท่านั้น ดังนั้นหากธุรกิจที่มี เงินได้สุทธิ / กำไร เกินกว่า 750,001 บาท เป็นจุดที่ต้องเริ่มพิจารณาแล้วว่าธุรกิจควรจะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือไม่
ข้อเสียของการเปิดบริษัทจำกัด
การเปิดบริษัทหรือ บจก. ไม่ได้มีเพียงข้อดีอย่างเดียว แต่ก็มีข้อเสียด้วย เพราะการเปิดเป็นบริษัทจำกัดอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน ข้อเสียมีดังนี้
ค่าใช้จ่ายทางด้านบัญชี: เมื่อเปิดเป็นบริษัทจำกัดแล้ว เราก็มีหน้าที่ต้องนำส่งงบการเงินให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากรเป็นประจำทุกปี ดังนั้นเราจะต้องจ้างผู้ทำบัญชีให้มาทำบัญชีให้รายเดือน และจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีให้มาตรวจสอบบัญชีและเซ็นงบการเงินแก่บริษัทให้รายปี
ต้นทุนเวลา: หลายๆคนมักจะลืมคิดข้อนี้ไป โดยเฉพาะบริษัทเล็กๆที่เจ้าของกิจการต้องทำทุกอย่างคนเดียว ขั้นตอนการออกเอกสาร การเก็บเอกสาร การจัดเรียงและเตรียมเอกสารต่างๆเพื่อส่งมอบให้ผู้ทำบัญชีนำไปบันทึกบัญชี ล้วนใช้เวลาทั้งสิ้น ดังนั้นการเปิดบริษัทจำกัด จะต้องมีต้นทุนเวลาที่เสียไปมากขึ้นทางด้านเอกสารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข้อกำหนดทางกฎหมาย: ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายอย่างเข้มงวด
ปัจจัยที่ต้องนำมาพิจาณาว่าควรเปิดบริษัท (บจก.) หรือไม่
ผมคิดว่ามีปัจจัยหลักประมาณ 3 ตัวที่ควรต้องเอามาพิจารณาว่าควรเปิดเป็นบริษัท หรือ บจก. หรือไม่
1.ภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ประหยัดได้ เมื่อเทียบกับการทำธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา
ในส่วนนี้จะต้องมีการคำนวณออกมาจริงๆเลย โดยใช้สมมติฐานตัวเลขชุดเดียวกัน ว่าหากทำธุรกิจแบบบริษัทจำกัด จะเสียภาษีเท่าไหร่ หากทำธุรกิจแบบบุคคลธรรมดาจะเสียภาษีเท่าไหร่ แนะนำให้ไปอ่าน 2 บทความนี้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณภาษี
เมื่อคำนวณออกมาได้แล้ว กรณีที่ 1 สมมติว่า ภาษีบุคคลต้องเสีย 65,000 บาท แต่หากเปิดเป็นบริษัทแล้วต้องเสียภาษี 67,500 บาท แบบนี้ก็ไม่ควรต้องเปิดบริษัท เพราะเสียภาษีมากกว่า กรณีที่ 2 สมมติว่า ภาษีบุคคลต้องเสีย 1,265,000 บาท แต่หากเปิดเป็นบริษัทแล้วต้องเสียภาษี 1,000,000 บาท แบบนี้จะเห็นได้ว่าประหยัดภาษีไปได้ 265,000 บาท ก็ต้องนำมาพิจารณาเปรียบเทียบกับต้นทุนในการทำบัญชีต่อว่าภาษีที่ประหยัดได้คุ้มค่ากับการเปิดบริษัทหรือไม่
2.ต้นทุนบัญชีที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดเป็นบริษัทจำกัด
ในส่วนนี้ก่อนเปิดเป็น บริษัทจำกัด เราจะต้องไปสอบถามราคาจากผู้ทำบัญชี ผู้สอบบัญชี มาเลยว่าธุรกิจของเราจะมีค่าบริการทางด้านบัญชีประมาณเท่าใด จากกรณีที่ 2 สมมติค่าทำบัญชีรายเดือนอยู่ที่ 10,000 บาท ค่าทำบัญชีต่อปีที่ 120,000 บาท และค่าสอบบัญชีอยู่ที่ 20,000 บาท ต่อปี ดังนั้นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทางด้านบัญชีอยู่ที่ 140,000 บาท ต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับภาษีที่ประหยัดได้ในข้อก่อน จำนวน 265,000 บาท ก็ยังถือว่าคุ้มค่าอยู่เมื่อเปิดเป็นบริษัท
3.ความน่าเชื่อถือ
ปัจจัยอื่นที่ควรนำมาพิจาณาก็คือการเปิดเป็นบริษัททำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ตรงนี้ก็ควรนำมาเป็นข้อพิจารณาเพิ่มเติม
เปรียบเทียบความแตกต่างการทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล
การทำธุรกิจนั้นมีหลายรูปแบบทั้งบุคคลธรรมดา (รวมถึง ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน) กับ นิติบุคคล (เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด เป็นต้น) ผมได้ทำตารางสรุปความแตกต่างมาให้ ดังนี้
สรุป
บริษัทจำกัด หรือที่มีชื่อย่อ บจก. เป็นรูปแบบในการดำเนินธุรกิจแบบนิติบุคคลที่มีความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือ ใช้จำนวนผู้ถือหุ้นไม่มาก (อย่างน้อย 2 คน) และที่สำคัญก็คือผู้ถือหุ้นทุกคนรับผิดจำกัด ใครที่สนใจดำเนินธุรกิจจริงจังมากขึ้น ต้องการขยายธุรกิจ และทำให้เป็นระบบ ตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านนะครับ