สารบัญ
- บริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) คืออะไร?
- ลักษณะสำคัญของบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.)
- ความแตกต่างระหว่างบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) และบริษัทจำกัด
- โครงสร้างและการบริหารงานของบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.)
- ข้อดีและข้อเสียของการเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.)
- สรุป
บริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) คืออะไร?
ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเติบโตและการแข่งขัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงินทุนมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของธุรกิจ บริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบองค์กรธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า บมจ. คืออะไร แตกต่างจากบริษัททั่วไปอย่างไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ บมจ. ในทุกแง่มุม พร้อมไขข้อสงสัยที่คุณอยากรู้
บริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) คือบริษัทประเภทหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป โดยผู้ถือหุ้นจะมีความรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากบริษัทจำกัดทั่วไปที่หุ้นของผู้ถือหุ้นไม่ได้มีการเสนอขายต่อสาธารณะชน
ลักษณะสำคัญของบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.)
ลักษณะที่สำคัญของบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) มีดังนี้
เสนอขายหุ้นต่อประชาชน: บมจ. สามารถระดมทุนได้โดยการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปผ่านตลาดหลักทรัพย์
จำนวนผู้ถือหุ้น: อย่างน้อย 15 คนขึ้นไป
ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัด: ผู้ถือหุ้นจะรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทไม่เกินมูลค่าหุ้นที่ตนถืออยู่
มีโครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน: บมจ. มีคณะกรรมการบริษัท (Board of Directors) เป็นผู้กำหนดนโยบายและควบคุมการบริหารงาน
มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ: บมจ. มีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
ความแตกต่างระหว่างบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) และบริษัทจำกัด
บริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) และบริษัทจำกัด เป็นรูปแบบนิติบุคคลที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย แต่มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ดังนี้
1.การระดมทุน:
บมจ.: สามารถเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปผ่านตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ระดมทุนได้จำนวนมาก
บจก.: ไม่สามารถเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปได้ การระดมทุนมักมาจากผู้ถือหุ้นหรือแหล่งเงินทุนส่วนตัว
2.จำนวนผู้ถือหุ้น:
บมจ.: มีผู้ถือหุ้นจำนวนมาก (15 คนขึ้นไป)
บจก.: มีผู้ถือหุ้นจำนวนจำกัด (2 คนขึ้นไป)
3.มูลค่าหุ้น
บมจ.: ไม่มีขั้นต่ำแต่ต้องมีมูลค่าเท่ากัน
บจก.: ไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท
4.การชำระค่าหุ้นครั้งแรก
บมจ.: ชำระเต็มมูลค่าเท่านั้น
บจก.: ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ของราคาพาร์
5. ข้อบังคับบริษัท
บมจ.: ต้องมีข้อบังคับ
บจก.: จะมีหรือไม่มีข้อบังคับก็ได้ หากไม่มีข้อบังคับ จะบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
6.กรรมการ
บมจ.: กรรมการอย่างน้อย 5 คน
บจก.: กรรมการอย่างน้อย 1 คน
7.ประเภทใบหุ้น
บมจ.: จะเป็นใบหุ้นประเภทระบุชื่อผู้ถือ
บจก.: จะเป็นใบหุ้นประเภทระบุชื่อผู้ถือหรือไม่ระบุชื่อผู้ถือก็ได้
8. ความรับผิดชอบ:
ทั้ง บมจ. และ บจก. ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบ
9. การกำกับดูแลกิจการ:
บมจ.: มีการกำกับดูแลกิจการที่เข้มงวดกว่า เนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ (กรณีที่ Listed ในตลาด)
บจก.: มีการกำกับดูแลที่น้อยกว่า
10. การเปิดเผยข้อมูล:
บมจ.: ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
บจก.: ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
11. กฎหมายหลักที่ใช้บังคับ:
บมจ. : พรบ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535
บจก. : ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โครงสร้างและการบริหารงานของบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.)
บริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) มีโครงสร้างการบริหารงานที่ซับซ้อนและมีการกำกับดูแลที่เข้มงวด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย โครงสร้างหลักของ บมจ. ประกอบด้วย:
- ผู้ถือหุ้น (Shareholders)
- เป็นเจ้าของบริษัท โดยถือหุ้นในสัดส่วนต่าง ๆ
- มีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริษัท และตัดสินใจในเรื่องสำคัญของบริษัท
- มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามผลประกอบการของบริษัท
- คณะกรรมการบริษัท (Board of Directors)
- เป็นผู้กำหนดนโยบายและควบคุมการบริหารงานของบริษัท
- ประกอบด้วยกรรมการหลายคน ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากผู้ถือหุ้น
- มีหน้าที่ในการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง และกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัทให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับ
- คณะกรรมการชุดย่อย (Sub-Committees)
ยกตัวอย่างเช่น
- คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee): มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของรายงานทางการเงิน และควบคุมภายในของบริษัท
- คณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน (Nomination and Remuneration Committee): มีหน้าที่สรรหาและกำหนดค่าตอบแทนของผู้บริหารและกรรมการ
- คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee): มีหน้าที่บริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัท
- ผู้บริหาร (Management)
- เป็นผู้บริหารงานประจำวันของบริษัท
- นำโดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) หรือกรรมการผู้จัดการใหญ่
- มีหน้าที่ในการดำเนินงานตามนโยบายที่กำหนดโดยคณะกรรมการบริษัท
ข้อดีและข้อเสียของการเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.)
การเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้
ข้อดีของการเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.)
ความสามารถในการระดมทุน:
บมจ. สามารถระดมทุนได้จำนวนมากโดยการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปผ่านตลาดหลักทรัพย์ (กรณีที่ Listed ในตลาดหลักทรัพย์) ทำให้มีเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจหรือลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
ความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดี:
การเป็น บมจ. ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับนักลงทุน ลูกค้า และคู่ค้า เนื่องจากบริษัทต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เข้มงวด
สภาพคล่องของหุ้น:
หุ้นของ บมจ. สามารถซื้อขายได้อย่างอิสระในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ถือหุ้นสามารถเปลี่ยนหุ้นเป็นเงินสดได้ง่าย (กรณีที่ Listed ในตลาดหลักทรัพย์)
การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย:
นอกจากการออกหุ้นแล้ว บริษัทยังสามารถออกตราสารหนี้ต่างๆ เช่น หุ้นกู้ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการระดมทุนได้อีกด้วย
ข้อเสียของการเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.)
ข้อกำหนดทางกฎหมายที่เข้มงวด:
บมจ. ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายและภาระในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้น
การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ:
บมจ. ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ต่อสาธารณะ (กรณีที่ Listed ในตลาดหลักทรัพย์) ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้าถูกเปิดเผย หรือทำให้คู่แข่งมาสืบข้อมูลได้ง่าย
ความผันผวนของราคาหุ้น:
ราคาหุ้นของ บมจ. อาจมีความผันผวนตามสภาวะตลาดและผลประกอบการของบริษัท ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน (กรณีที่ Listed ในตลาดหลักทรัพย์)
สรุป
บริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) คือบริษัทประเภทหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายที่สำคัญในการกำกับดูแลและบริหารจัดการบริษัทมหาชนในประเทศไทย โดยมีรายละเอียดครอบคลุมตั้งแต่การจัดตั้ง, การดำเนินงาน, สิทธิและหน้าที่ของบริษัท, ผู้ถือหุ้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง