ประกันสังคม พนักงานเข้าใหม่: นายจ้างต้องแจ้งเข้าอย่างไร? ลูกจ้างได้สิทธิอะไรบ้าง? (อัปเดตล่าสุด)

ประกันสังคม พนักงานเข้าใหม่ (อัปเดตล่าสุด) by BMU
icon รับทำบัญชี
icon ดูรีวิวจากลูกค้า
แก้ไขเรียบร้อยแล้วนะคะ BUM ให้บริการปรึกษาฟรี
icon ติดต่อ Line

ประกันสังคมเป็นอีกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับบริษัทที่มีลูกจ้าง เพราะตามกฎหมายกำหนดว่าบริษัทที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปต้องเข้าระบบประกันสังคม โดยลูกจ้างจะได้รับสิทธิ์ต่างๆตามที่ประกันสังคมกำหนด ในบทความนี้ทาง Build Me Up Consultant (BMU) จะมาอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับประกันสังคมให้ฟัง

สารบัญบทความ (Table of Contents)

    1. ประกันสังคมสำหรับพนักงานเข้าใหม่ คืออะไร?
    2. ขั้นตอนการแจ้งเข้าประกันสังคม “พนักงานเข้าใหม่” สำหรับนายจ้าง
    3. การคำนวณเงินสมทบ: พนักงานเข้าใหม่ต้องจ่ายเท่าไหร่?
    4. สิทธิประกันสังคม พนักงานใหม่: เมื่อไหร่ถึงจะใช้สิทธิได้?
    5. คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่
    6. สรุปและข้อแนะนำสำหรับนายจ้างและลูกจ้าง

ประกันสังคมสำหรับพนักงานเข้าใหม่ คืออะไร?

ทำไมต้องแจ้งเข้าประกันสังคม?

เหตุผลหลักที่บริษัทที่มีลูกจ้างต้องแจ้งเข้าประกันสังคมมีดังนี้

  1. เป็นข้อบังคับตามกฎหมาย :

ตาม พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดเอาไว้ว่า นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างและแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่มีการจ้างงาน หากไม่ดำเนินการ นายจ้างอาจมีโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับได้

  1. ลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมจะได้รับความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ :

สิทธิประโยชน์ที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ว่างงาน สงเคราะห์บุตร ชราภาพ หรือเสียชีวิต จะได้รับความคุ้มครองและเงินชดเชยตามสิทธิ นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิค่ารักษาพยาบาลได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ใครคือ “ผู้ประกันตนมาตรา 33”

ผู้ประกันตนมาตรา 33 คือ ลูกจ้างหรือพนักงานประจำ ที่ทำงานในสถานประกอบการเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ซึ่งต้องมีอายุระหว่าง 15-60 ปีบริบูรณ์ โดยจะถูกหักเงินสมทบจากค่าจ้างทุกเดือน ส่วนนายจ้างก็จะสมทบเงินเข้าไปบางส่วนเช่นกัน เพื่อให้รัฐบาลนำเงินก้อนนี้ไปบริหารเพื่อสวัสดิการต่างๆของผู้ประกันตน

ดังนั้นเมื่อนายจ้างมีลูกจ้างเป็นพนักงานที่เข้าใหม่ก็จะต้องไปขึ้นทะเบียนนายจ้างและลูกจ้างประกันสังคม

ขั้นตอนการแจ้งเข้าประกันสังคม “พนักงานเข้าใหม่” สำหรับนายจ้าง

นายจ้างมีหน้าที่ต้องแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างใหม่กับสำนักงานประกันสังคม ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่พนักงานเริ่มเข้าทำงาน ขั้นตอนการแจ้งเข้าประกันสังคม กรณีที่มีพนักงานใหม่ดังนี้

    1. เข้า Website ประกันสังคม และเลือกหัวข้อ สถานประกอบการ
    2. เลือกเมนู ทะเบียนผู้ประกันตน และใส่ Username Password
    3. หลังจากนั้นให้แจ้งชื่อพนักงานเข้าใหม่ โดยดำเนินการตามที่ระบบกำหนด หรือดูรายละเอียดขั้นตอนวิธีการเพิ่มเติมที่นี่ : คู่มือการใช้งาน E-Services ของสำนักงานประกันสังคมสำหรับสถานประกอบการ

การคำนวณเงินสมทบ: พนักงานเข้าใหม่ต้องจ่ายเท่าไหร่?

อัตราเงินสมทบประกันสังคม ม.33 (ลูกจ้างและนายจ้าง)

อัตราเงินสมทบประกันสังคมสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในปัจจุบันแบ่งเป็นสัดส่วนดังนี้

อัตราเงินสมทบประกันสังคมสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 By BMU

ฐานเงินเดือนขั้นต่ำและสูงสุดที่ใช้คำนวณ

ฐานค่าจ้างขั้นต่ำ: 1,650 บาท

หากลูกจ้างมีค่าจ้างรายเดือนต่ำกว่า 1,650 บาท ก็จะต้องหักเงินสมทบประกันสังคมตามขั้นต่ำที่ 1,650 บาท

ฐานค่าจ้างขั้นสูง: 15,000 บาท

หากลูกจ้างมีค่าจ้างรายเดือนมากกว่า 15,000 บาท จะคำนวณยอดเงินสมทบที่ฐานสูงสุดคือ 15,000 บาท

ตัวอย่างการคำนวณเงินสมทบ

กรณีที่พนักงานมีเงินเดือน 1,000 บาท

    • ลูกจ้างจ่ายเงินสมทบ (ตามอัตราขั้นต่ำ) : 1,650 x 5% = 82.5 บาท ปัดขึ้นเป็น 83 บาท
    • นายจ้างจ่ายเงินสมทบ (ตามอัตราขั้นต่ำ) : 1,650 x 5% = 82.5 บาท ปัดขึ้นเป็น 83 บาท

กรณีที่พนักงานมีเงินเดือน 15,000 บาท

    • ลูกจ้างจ่ายเงินสมทบ : 15,000 x 5% = 750 บาท
    • นายจ้างจ่ายเงินสมทบ : 15,000 x 5% = 750 บาท

กรณีที่พนักงานมีเงินเดือน 30,000 บาท

    • ลูกจ้างจ่ายเงินสมทบ (ตามอัตราขั้นสูง) : 15,000 x 5% = 750 บาท
    • นายจ้างจ่ายเงินสมทบ (ตามอัตราขั้นสูง) : 15,000 x 5% = 750 บาท

สิทธิประกันสังคม พนักงานใหม่: เมื่อไหร่ถึงจะใช้สิทธิได้?

สิทธิกรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย

คือสิทธิประโยชน์กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันไม่ใช่เนื่องจากการทำงานโดยมีเงื่อนไข คือ จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเดือนที่รับบริการทางการแพทย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : สิทธิประโยชน์กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน

สิทธิกรณีคลอดบุตร

คือสิทธิการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายกรณีคลอดบุตรให้แก่ผู้ประกันตนในอัตรา 15,000 บาทต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง โดยมีเงื่อนไข คือ จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : สิทธิกรณีคลอดบุตร

สิทธิกรณีทุพพลภาพ

ทุพพลภาพ หมายถึง การสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือของร่างกายหรือสูญเสียภาวะปกติของจิตใจ จนทำให้ความสามารถในการทำงานลดลงถึงขนาดไม่อาจประกอบการงานตามปกติได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด จะได้รับสิทธิโดยมีเงื่อนไข ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนทุพพลภาพ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : สิทธิกรณีทุพพลภาพ

สิทธิกรณีเสียชีวิต

จะได้รับสิทธิ เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขคือ กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเดือนถึงแก่ความตาย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : สิทธิกรณีเสียชีวิต

สิทธิกรณีสงเคราะห์บุตร

จะได้รับสิทธิ เมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้

    1. ต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39
    2. จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน สิทธิที่ท่านจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 1,000 บาทต่อบุตรหนึ่งคน คราวละไม่เกิน 3 คน ( มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 )
    3. ต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น
    4. อายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : สิทธิกรณีสงเคราะห์บุตร

สิทธิกรณีชราภาพ

 เงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีบำนาญชราภาพ

    •     จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน ไม่ว่าระยะเวลา 180 เดือนจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม
    •     มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
    •     ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

เงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีบำเหน็จชราภาพ

    •     จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน
    •     ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
    •     มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : สิทธิกรณีชราภาพ

สิทธิกรณีว่างงาน

มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้

  1. จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงานกับนายจ้างรายสุดท้าย หรือกรณีผู้ประกันตนว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย
  2. มีระยะเวลาการว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป
  3. ผู้ประกันตนต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ต (เว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th) ของกรมการจัดหางาน
  4. ต้องรายงานตัวตามกำหนดนัดผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (เว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th) ของสำนักงานจัดหางานไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง ( รายงานตัววันใดก็ได้ภายในเดือนที่นัด )
  5. เป็นผู้มีความสามารถในการทำงาน และพร้อมที่จะทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดให้
  6. ต้องไม่ปฏิเสธการฝึกงาน
  7. ผู้ที่ว่างงานต้องไม่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากกรณี มีดังนี้
      1. ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
      2. จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
      3. ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายในกรณี ร้ายแรง
      4. ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันควร
      5. ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
      6. ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
      7. ต้องมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : สิทธิกรณีว่างงาน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่

A: โดยทั่วไป ผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล หากเข้ารักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิที่เลือกไว้ แต่ถ้าหากว่าไม่ได้รักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ (เช่น เป็นกรณีฉุกเฉิน หรือเจ็บป่วยขณะอยู่ต่างจังหวัด) จะต้องสำรองจ่ายไปก่อนแล้วค่อยยื่นเรื่องเบิกเงินคืนจากสำนักงานประกันสังคมภายหลัง

A: แน่นอนว่าการที่นายจ้างแจ้งเข้าประกันสังคมให้แก่พนักงานล่าช้า นายจ้างมีโทษทั้งจำทั้งปรับหากแจ้งเข้าประกันสังคมล่าช้าเกินกว่า 30 วัน โดยมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

A: ผู้ประกันตนมาตรา 39 คือผู้ที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 (ลูกจ้างบริษัท) แล้วลาออก แต่ยังต้องการรักษาสิทธิประกันสังคมไว้ เมื่อกลับเข้าทำงานใหม่โดยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ไม่ต้องดำเนินการใดๆ เพียงแค่ให้แจ้งนายจ้าง ซึ่งนายจ้างจะเป็นผู้แจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนให้ใหม่เป็นมาตรา 33 ภายใน 30 วัน โดยอัตโนมัติ แต่หากมีการค้างชำระเงินสมทบ จะต้องติดต่อสำนักงานประกันสังคมเพื่อดำเนินการชำระและแจ้งยกเลิกมาตรา 39 ด้วยตนเอง.

สรุปและข้อแนะนำสำหรับนายจ้างและลูกจ้าง

นายจ้างควรที่จะต้องแจ้งประกันสังคม พนักงานเข้าใหม่ ให้ทันตามที่กฎหมายกำหนดนั่นคือภายใน 30 วัน ส่วนลูกจ้างก็ควรศึกษาสิทธิประโยชน์ต่างๆเอาไว้อย่างละเอียด เพื่อเวลาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจะได้สามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างถูกต้อง สุดท้ายนี้หากผู้ประกอบการท่านไหนต้องการดำเนินการ จดประกันสังคมขึ้นทะเบียนนายจ้าง สามารถให้ทางเรา Build Me Up Consultant (BMU) ช่วยดำเนินการให้ได้ ติดต่อทางเราได้ที่ โทร. 0925863663 , 021245303 Facebook : Build Me Up Consultant Line : @bmu001

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.